
คำถามแรกที่ผู้ใช้รถต้องทราบคำตอบทันทีคือรถยนต์กี่ปีต้องตรวจสภาพ? คำตอบตามกฎหมายคือ รถยนต์ที่มีอายุการใช้งานครบ 7 ปีขึ้นไป ต้องนำรถเข้าตรวจสภาพก่อนเสียภาษีประจำปีเสมอ การตรวจสภาพนี้ไม่ใช่เพียงแค่ขั้นตอนทางเอกสารเพื่อให้ต่อภาษีผ่านเท่านั้น แต่เป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยการันตีความปลอดภัยบนท้องถนน ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากความบกพร่องของตัวรถ gurumalist ขออาสาพาคุณไปเจาะลึกทุกรายละเอียด ตั้งแต่วิธีนับอายุรถ ไปจนถึงขั้นตอนการตรวจสภาพ เพื่อให้คุณจัดการเรื่องรถยนต์ได้อย่างมืออาชีพและถูกต้องตามกฎหมาย
ทำไมต้องตรวจสภาพรถยนต์
หลายคนอาจมองว่าการตรวจสภาพรถเป็นเรื่องยุ่งยากและเสียเวลา แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดกฎเกณฑ์เรื่องรถยนต์กี่ปีต้องตรวจสภาพนั้น มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ "ความปลอดภัยสาธารณะ" และ "สิ่งแวดล้อม" เป็นสำคัญ เมื่อรถยนต์ผ่านการใช้งานมาเป็นระยะเวลานาน ย่อมมีการเสื่อมสภาพของชิ้นส่วนต่างๆ ตามกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรก ระบบไฟส่องสว่าง สภาพยาง หรือระบบเครื่องยนต์
การตรวจสภาพรถยนต์จึงเป็นกลไกในการคัดกรองรถที่ไม่พร้อมใช้งานออกจากท้องถนน ป้องกันไม่ให้รถที่มีควันดำเกินเกณฑ์มาตรฐานออกมาสร้างมลพิษ (PM 2.5) หรือป้องกันรถที่ระบบเบรกชำรุดมาวิ่งปะปนกับผู้ใช้ทางคนอื่นๆ จนอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ ดังนั้นการปฏิบัติตามกฎนี้จึงเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมที่ผู้ใช้รถทุกคนต้องตระหนัก และเป็นเครื่องยืนยันว่ารถของคุณยังมีสมรรถนะที่ดีเพียงพอสำหรับการเดินทางในทุกเส้นทาง
รถอายุกี่ปีถึงต้องตรวจสภาพ
เมื่อเข้าใจถึงความสำคัญแล้ว ประเด็นต่อมาคือเกณฑ์การตัดสินว่ารถของเราเข้าข่ายต้องตรวจสภาพหรือยัง โดยกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า รถยนต์ที่มีอายุใช้งานครบ 7 ปี จะต้องนำรถไปตรวจสภาพก่อนเสมอจึงจะสามารถดำเนินการต่อภาษีรถยนต์ประจำปีได้ หากรถของคุณยังใหม่และอายุไม่ถึงเกณฑ์ ก็สามารถข้ามขั้นตอนนี้ไปเสียภาษีได้เลย อย่างไรก็ตาม กฎหมายได้มีการแบ่งประเภทของรถและการนับอายุที่แตกต่างกันออกไปตามลักษณะการจดทะเบียน ดังนี้
รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน
สำหรับรถยนต์ประเภทที่พบเห็นได้มากที่สุดบนท้องถนน คือ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (ป้ายทะเบียนพื้นขาว ตัวหนังสือสีดำ) เช่น รถเก๋งซีดาน (Sedan), รถแฮทช์แบ็ก (Hatchback), รถเอสยูวี (SUV) หรือรถกระบะ 4 ประตู กลุ่มนี้จะเริ่มบังคับตรวจสภาพเมื่อรถมี อายุครบ 7 ปี เข้าสู่ปีที่ 8 ตัวอย่างเช่น หากรถจดทะเบียนปี 2560 เมื่อถึงปี 2567 รถคันนี้จะถือว่ามีอายุครบ 7 ปี และต้องทำการตรวจสภาพทันทีหากต้องการต่อภาษีในปีนั้น
การกำหนดที่ 7 ปี ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมตามหลักวิศวกรรมยานยนต์ เพราะเป็นช่วงที่ชิ้นส่วนอะไหล่สิ้นเปลืองเริ่มเสื่อมสภาพอย่างเห็นได้ชัด เช่น ท่อยางต่างๆ บูชยางช่วงล่าง หรือระบบควบคุมไอเสีย ซึ่งการรู้ว่ารถยนต์กี่ปีต้องตรวจสภาพจะช่วยให้เจ้าของรถเตรียมงบประมาณในการซ่อมบำรุงและดูแลรักษารถให้พร้อมก่อนถึงกำหนดตรวจจริง
รถประเภทอื่นๆ
นอกจากรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแล้ว ยังมีรถประเภทอื่นๆ ที่มีเกณฑ์การตรวจสภาพแตกต่างกัน หรือใช้เกณฑ์เดียวกันแต่รายละเอียดต่างกัน ดังนี้:
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน: เช่น รถตู้ (Van) หรือรถ PPV บางรุ่นที่จดทะเบียนเป็นรถเกิน 7 ที่นั่ง (ป้ายทะเบียนพื้นขาว ตัวหนังสือสีฟ้า) ใช้เกณฑ์เดียวกับรถเก๋ง คือ ครบ 7 ปีต้องตรวจสภาพ
- รถบรรทุกส่วนบุคคล: หรือรถกระบะตอนเดียว/แคป (ป้ายทะเบียนพื้นขาว ตัวหนังสือสีเขียว) ใช้เกณฑ์ ครบ 7 ปีต้องตรวจสภาพ เช่นกัน
- รถจักรยานยนต์: สำหรับรถมอเตอร์ไซค์ กฎหมายกำหนดให้ตรวจสภาพเร็วกว่ารถยนต์ คือเมื่อมี อายุใช้งานครบ 5 ปี ต้องนำไปตรวจสภาพก่อนต่อภาษี
การจำแนกประเภทรถให้ถูกต้องจึงสำคัญมาก เพราะหากเข้าใจผิดอาจทำให้เสียเวลาไปต่อภาษีแล้วถูกเจ้าหน้าที่ปฏิเสธเพราะเอกสารการตรวจสภาพไม่ครบถ้วน

Alt Text : วิธีนับอายุรถที่ถูกต้อง สำหรับตรวจสภาพ
วิธีนับอายุรถที่ถูกต้อง สำหรับตรวจสภาพ
ปัญหาสุดคลาสสิกที่ทำให้เจ้าของรถสับสนคือ "วิธีนับอายุรถ" ว่าต้องนับอย่างไรถึงจะรู้ว่ารถยนต์กี่ปีต้องตรวจสภาพอย่างแม่นยำ บางคนนับจากปีที่ซื้อ บางคนนับจากปีที่ผลิต แต่ความจริงแล้ว วิธีที่ถูกต้องที่สุดคือการดูจาก "วันจดทะเบียนครั้งแรก" ที่ระบุอยู่ในเล่มทะเบียนรถ (เล่มสีน้ำเงิน) หรือสำเนารายการจดทะเบียน
สูตรการนับแบบง่ายๆ ให้นับปีที่จดทะเบียนเป็น "ปีที่ 1"
- ตัวอย่าง: รถจดทะเบียนปี 2560
- ปี 2560 = ปีที่ 1
- ปี 2566 = ปีที่ 7 (ปีนี้ยังไม่ต้องตรวจ หากต่อภาษีก่อนวันครบรอบจดทะเบียน)
- ปี 2567 = เข้าสู่ปีที่ 8 (ต้องตรวจสภาพแล้ว)
ตรวจสภาพรถได้ที่ไหนบ้าง?
เมื่อทราบแล้วว่ารถของท่านเข้าข่ายต้องตรวจสภาพ สถานที่ในการให้บริการคือสิ่งถัดมาที่ต้องพิจารณา โดยปัจจุบันเจ้าของรถมีทางเลือกหลักๆ อยู่ 2 ทางเลือก ซึ่งมีความแตกต่างกันในเรื่องของความสะดวกและประเภทของรถที่รับตรวจ เพื่อให้ท่านเลือกใช้บริการได้ตรงกับความต้องการและสภาพรถของท่านที่สุด
สถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.)
ทางเลือกที่สะดวกและรวดเร็วที่สุดสำหรับรถยนต์ทั่วไปคือ สถานตรวจสภาพรถเอกชน หรือที่เรารู้จักกันในชื่อย่อว่า ตรอ. ซึ่งสังเกตได้ง่ายจากป้ายสัญลักษณ์สีเหลืองรูปเฟืองที่มีอยู่ทั่วทุกมุมเมือง การใช้บริการที่ ตรอ. เหมาะสำหรับ:
- รถยนต์ที่มีอายุครบ 7 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกินเกณฑ์ที่ต้องเข้าขนส่งฯ
- รถที่มีสภาพปกติ ไม่มีการดัดแปลงสภาพที่ผิดกฎหมาย
- รถที่ภาษีขาดไม่เกิน 1 ปี
ข้อดีของการตรวจที่ ตรอ. คือความรวดเร็ว ใช้เวลาเพียง 15-20 นาที (หากคิวไม่ยาว) และมีเปิดให้บริการในวันเสาร์-อาทิตย์ในบางแห่ง อีกทั้งยังมักมีบริการรับต่อภาษีแบบ One-stop service อำนวยความสะดวกให้เจ้าของรถที่ไม่ต้องการเดินทางไปขนส่งเอง
สำนักงานขนส่งทางบก
แม้ ตรอ. จะสะดวกสบาย แต่ก็มีรถบางประเภทที่ บังคับ ต้องไปตรวจสภาพที่ สำนักงานขนส่งทางบก เท่านั้น ไม่สามารถตรวจที่ ตรอ. ได้ ได้แก่
- รถที่ดัดแปลงสภาพ เช่น เปลี่ยนเครื่องยนต์, เปลี่ยนสี, โหลดเตี้ยหรือยกสูงจนผิดไปจากรายการจดทะเบียนเดิม
- รถที่ภาษีขาดเกิน 1 ปี รถที่ขาดการต่อภาษีติดต่อกันเกิน 1 ปี ต้องนำรถไปให้เจ้าหน้าที่ขนส่งตรวจเช็กอย่างละเอียด
- รถที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลขตัวถังหรือเลขเครื่อง หากมีการตอกเลขใหม่ หรือเลขเลือนหาย ต้องไปพิสูจน์ทราบที่ขนส่งฯ
- รถเก่ามาก รถที่มีเจ้าของเสียชีวิตหรือมีปัญหาเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ซับซ้อน
การตรวจที่ขนส่งฯ จะมีความเข้มงวดมากกว่า และต้องดำเนินการในวันและเวลาราชการเท่านั้น ดังนั้นหากรถของคุณเข้าข่ายเงื่อนไขเหล่านี้ การวางแผนลางานหรือจัดสรรเวลาเป็นเรื่องจำเป็น
เอกสารที่ต้องใช้ และค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ก่อนนำรถเข้าตรวจสภาพ การเตรียมตัวให้พร้อมจะช่วยลดความผิดพลาดและประหยัดเวลาหน้างานได้มาก สิ่งที่ต้องเตรียมหลักๆ มีเพียงเอกสารยืนยันตัวตนของรถและค่าธรรมเนียมตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งถือเป็นราคามาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ไม่ว่าจะใช้บริการที่ ตรอ. แห่งใดก็ตาม
เตรียมเอกสารอะไรไปบ้าง
เอกสารสำหรับการตรวจสภาพรถนั้นเรียบง่ายมาก โดยหลักๆ ท่านต้องเตรียม:
- ใบคู่มือจดทะเบียนรถ (เล่มสีน้ำเงิน) ฉบับจริง หรือ สำเนา ก็ได้ (แนะนำให้พกฉบับจริงเผื่อกรณีเจ้าหน้าที่ต้องการตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติม)
- บัตรประชาชนเจ้าของรถ (บางแห่งอาจไม่เรียกดูหากข้อมูลในระบบครบถ้วน แต่ควรพกติดตัวไว้เสมอ)
ข้อแนะนำ : หากรถมีการติดตั้งแก๊ส LPG หรือ CNG ต้องเตรียม หนังสือรับรองการตรวจและทดสอบส่วนควบและเครื่องอุปกรณ์ (ใบวิศวะ) ฉบับล่าสุดไปด้วย เพื่อยื่นประกอบการตรวจสภาพ เพราะหากไม่มีใบนี้ ทาง ตรอ. หรือขนส่งฯ จะไม่สามารถออกใบรับรองการตรวจสภาพให้ได้
ค่าตรวจสภาพรถ ราคาเท่าไหร่
อัตราค่าบริการตรวจสภาพรถที่ ตรอ. เป็นอัตรามาตรฐานที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดไว้ ดังนี้:
- รถยนต์ (น้ำหนักรถเปล่าไม่เกิน 1,600 กก.) ค่าตรวจ 200 บาท/คัน (รถเก๋ง รถกระบะทั่วไป)
- รถยนต์ (น้ำหนักรถเปล่าเกิน 1,600 กก.) ค่าตรวจ 300 บาท/คัน (รถตู้ รถกระบะขนาดใหญ่)
- รถจักรยานยนต์ ค่าตรวจ 60 บาท/คัน
ราคานี้เป็นเพียงค่าตรวจสภาพเท่านั้น ไม่รวมค่า พ.ร.บ. หรือค่าภาษีประจำปีที่ต้องจ่ายแยกต่างหาก
ขั้นตอนการตรวจสภาพรถ มีอะไรบ้าง
กระบวนการตรวจสภาพรถยนต์ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เป็นขั้นตอนที่เป็นระบบเพื่อตรวจสอบสมรรถนะความปลอดภัยพื้นฐาน โดยเจ้าหน้าที่จะใช้เครื่องมือทดสอบที่ได้มาตรฐาน เริ่มจากการตรวจสอบเอกสารและสภาพภายนอก ไปจนถึงการทดสอบสมรรถนะเครื่องยนต์และระบบเบรก โดยมีขั้นตอนสรุปดังนี้
- ยื่นเอกสารและลงทะเบียน นำเล่มทะเบียนรถแจ้งเจ้าหน้าที่ เพื่อบันทึกข้อมูลเข้าระบบ
- ตรวจสอบสภาพภายนอก เจ้าหน้าที่จะเช็กความถูกต้องของเลขตัวถัง เลขเครื่องยนต์ ว่าตรงกับเล่มทะเบียนหรือไม่ รวมถึงเช็กระบบไฟส่องสว่าง ไฟเลี้ยว ไฟเบรก ที่ปัดน้ำฝน และสภาพยางรถยนต์
- ทดสอบระบบเบรก นำรถขึ้นเครื่องทดสอบเพื่อวัดประสิทธิภาพของเบรกมือและเบรกเท้า ว่ามีแรงเบรกเพียงพอที่จะหยุดรถได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ ทั้งล้อหน้าและล้อหลัง
- ตรวจวัดมลพิษ
- เครื่องยนต์เบนซิน: วัดค่าก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) และไฮโดรคาร์บอน (HC)
- เครื่องยนต์ดีเซล: วัดค่าควันดำ (Opacity) ต้องไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานที่กฎหมายใหม่กำหนด
- วัดระดับเสียง ตรวจสอบเสียงจากท่อไอเสียว่าดังเกิน 100 เดซิเบล เอ หรือไม่
- รับใบรับรองและชำระเงิน หากผ่านทุกขั้นตอน เจ้าหน้าที่จะออก ใบรับรองการตรวจสภาพรถ (ใบ ตรอ.) เพื่อให้นำไปใช้ต่อภาษีได้ทันที หรือใช้บริการฝากต่อภาษี ณ จุดนั้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจสภาพรถ
ตรวจสภาพรถล่วงหน้าได้กี่เดือน
เจ้าของรถสามารถนำรถเข้าตรวจสภาพล่วงหน้าได้ไม่เกิน 3 เดือน (90 วัน) ก่อนวันสิ้นอายุภาษีประจำปี การวางแผนตรวจล่วงหน้าช่วยให้มีเวลาแก้ไขหากรถไม่ผ่านเกณฑ์ และไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีขาดหากเกิดเหตุฉุกเฉินในช่วงใกล้วันหมดอายุ
ตรวจสภาพไม่ผ่าน ต้องทำอย่างไร
หากตรวจไม่ผ่าน เจ้าหน้าที่จะแจ้งจุดบกพร่องให้ทราบ ท่านต้องนำรถไปซ่อมแซมแก้ไขให้เรียบร้อย แล้วนำกลับมาตรวจใหม่ที่เดิมภายใน 15 วัน โดยปกติจะเสียค่าบริการตรวจแก้ตัวในราคาครึ่งหนึ่ง แต่หากเกิน 15 วัน หรือเปลี่ยนสถานที่ตรวจ จะต้องเสียค่าบริการเต็มจำนวนใหม่
รถติดแก๊ส ต้องตรวจอะไรเพิ่มเติม
รถติดแก๊สต้องมีใบรับรองวิศวกรประกอบเสมอ โดย รถติดแก๊ส LPG ต้องตรวจสภาพระบบแก๊สทุก 5 ปี ส่วน รถติดแก๊ส CNG/NGV ต้องตรวจสภาพระบบแก๊ส ทุกปี และนำใบรับรองนั้นมายื่นคู่กับการตรวจสภาพรถปกติเพื่อใช้ต่อภาษี

สรุปบทความ
การทำความเข้าใจว่ารถยนต์กี่ปีต้องตรวจสภาพเป็นความรู้พื้นฐานที่สำคัญสำหรับคนรักรถทุกคน จำให้ขึ้นใจว่า "รถเก๋ง-กระบะ ครบ 7 ปี, มอเตอร์ไซค์ ครบ 5 ปี" ต้องตรวจสภาพเสมอ การปฏิบัติตามกฎนี้นอกจากจะทำให้การต่อภาษีราบรื่นแล้ว ยังช่วยให้ท่านมั่นใจในความปลอดภัยทุกการขับขี่ ว่ารถของท่านพร้อมจะพาไปสู่จุดหมายโดยสวัสดิภาพ
หากท่านกำลังมองหารถยนต์มือสองคุณภาพดี ที่ผ่านการตรวจสอบสภาพมาอย่างละเอียด ไม่ต้องกังวลเรื่องการซ่อมจุกจิก หรือต้องการส่งต่อรถคันเดิมเพื่อให้ได้ราคาที่ยุติธรรม gurumalist คือคำตอบ เราคือผู้ให้บริการเว็บขายรถมือสองที่เน้นความโปร่งใสและมาตรฐาน สามารถเข้ามาเลือกชมรถที่ถูกใจ หรือปรึกษาเรื่องรถยนต์ผ่านเว็บไซต์ของเราได้ทันที เพราะเรื่องรถ ไว้ใจ gurumalist ให้ดูแลคุณ